การมีกรามที่ใหญ่ ทำให้ใบหน้าดูไม่อ่อนหวานและแข็งทื่อ สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณกรามให้อ่อนแรงลง ทำให้ได้ใบหน้าเรียวสวยจากการที่กรามมีขนาดลดลง ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการลดกรามแต่ไม่อยากผ่าตัดให้เจ็บตัว เห็นผลได้ไว เพราะโบท็อกซ์ออกฤทธิ์เร็ว
ทำไมต้องโบท็อกซ์กราม
ลักษณะส่วนมากของผู้ที่ต้องการฉีดโบท็อกซ์กราม คือ มีโครงหน้าเหลี่ยม ซึ่งมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมของคนไข้เองหรือเกิดจากพฤติกรรมการใช้กรามบ่อย เช่น การมีสบฟันไม่สนิท การนอนกัดฟัน หรือการเคี้ยวอาหารที่มีความเหนียว เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณมุมกรามหรือขากรรไกรมีลักษณะนูนหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติค่ะ
ทำไมฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วไม่ได้ผล
ในการจะฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วได้ผลนั้น คนไข้ต้องแน่ใจก่อนว่า ปัญหาใบหน้าขนาดใหญ่ของตนเองมีสาเหตุมาจากการมีกรามที่ใหญ่ ซึ่งคนไข้สามารถทดสอบตนเองเบื้องต้นได้ โดยเริ่มจากการกัดฟันเข้าหากัน เพื่อให้สามารถมองเห็นกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรทั้งสองข้างชัดเจนขึ้น และเมื่อสังเกตบริเวณใบหน้า ถ้าพบว่าคางเป็นเหลี่ยม แสดงว่าคนไข้มีกรามใหญ่ ซึ่งจะสามารถแก้ไขด้วยการฉีดโบท็อกซ์ได้ แต่ถ้าหากไม่เป็นไปตามปัจจัยที่ได้กล่าวไปแล้ว อาจเป็นข้อบ่งชี้ว่าคนไข้มีปัญหาใบหน้าใหญ่จากปัจจัยอื่น เช่น การมีไขมันสะสมหรือกระดูกกรามใหญ่ เป็นต้น การฉีดโบท็อกซ์จะไม่ช่วย เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด ดังนั้น หากคนไข้ต้องการปรับใบหน้าให้เรียว สามารถใช้การรักษาด้วย Hifu ในกรณีที่เกิดจากไขมันหรือผ่าตัดเพื่อตกแต่งกระดูกกรามในกรณีที่มีสาเหตุมาจากกระดูกกรามใหญ่ค่ะ
เกร็ดความรู้ : การลดขนาดกรามด้วยการใช้โบท็อกซ์ หรือสาร Botulinum toxin เป็นเพียงการลดการทำงานของกล้ามเนื้อกรามเท่านั้น จะไม่มีผลต่อกระดูกหรือไขมัน
โบท็อกซ์กราม ทำงานอย่างไร
เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไป สารจะออกฤทธิ์โดยการคลายกล้ามเนื้อและช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร ทำให้ความหนานูนของกล้ามเนื้อบริเวณมุมกรามลดลง ส่งผลให้คนไข้มีใบหน้าที่ดูเรียวสวยขึ้น ทั้งนี้ การฉีดโบท็อกซ์ลดกราม จะเริ่มเห็นผลที่ชัดเจนประมาณ 14 วัน คือกล้ามเนื้อกรามจะเริ่มนิ่มลง และไม่เด้งเวลากัดฟัน แต่ถ้าจะให้กล้ามเนื้อกรามยุบเต็มที่ จะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ส่วนผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์จะคงผลอยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์นั้น คนไข้สามารถทำการฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่ต้องเจ็บตัวกับการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกราม ที่ต้องใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์กรามนั้นสามารถลดได้เฉพาะกรณีที่หน้าใหญ่จากกล้ามเนื้อเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขในกรณีที่หน้าใหญ่จากโครงกระดูกขากรรไกรค่ะ
ฉีดโบท็อกซ์กราม เจ็บไหม
เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์กรามจะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กที่สุด ทำให้คนไข้อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือไม่เจ็บเลย ดังนั้น คนที่กลัวเข็มก็สามารถฉีดได้ค่ะ โดยหมอจะปักเข็มที่บริเวณกล้ามเนื้อประมาณ 2 -4 จุด ในระหว่างฉีดบางคนอาจจะรู้สึกตึงเล็กน้อย แต่สำหรับใครที่กลัวจะเจ็บจนทนไม่ไหวสามารถทายาชาหรือประคบเย็นก่อนการฉีดประมาณ 30 นาทีค่ะ
ผู้ชายฉีดโบท็อกซ์ลดกรามได้ไหม?
แน่นอนว่าการศัลยกรรมไม่ได้ถูกกำจัดอยู่แค่คุณผู้หญิงเพียงอย่างเดียว สำหรับคุณผู้ชายที่ประสบปัญหากรามใหญ่ที่ไม่ว่าจะพยายามออกกำลังกายจนได้หุ่นสุดแสนภาคภูมิใจมาแล้ว แต่กรามกลับดูไม่ลดลงไปเลย ดังนั้น ในการฉีดโบท็อกซ์กรามจะช่วยให้เหล่าคุณผู้ชายได้ใบหน้าเรียวในฝัน และสร้างความมั่นใจเวลาต้องพบปะกับผู้อื่นมากขึ้นค่ะ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
การฉีดโบท็อกซ์กรามมีความปลอดภัย หากคนไข้ฉีดด้วยโบท็อกซ์ที่ได้มาตรฐานและฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมทั้งความรู้และประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์อาจมีผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น หมอจะให้ข้อมูลเพื่อที่คนไข้สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ ตามไปดูกันเลยค่ะ
1. ปวดกราม
คนไข้อาจมีอาการปวดบริเวณกรามอยู่บ่อยครั้ง และกล้ามเนื้อมุมกรามจะฝ่อตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
2. เคี้ยวอาหารลำบาก
เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณกรามที่ฉีดโบท็อกซ์จะมีความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น ทำให้การขยับกล้ามเนื้อขึ้นลงเพื่อเคี้ยวอาหารมีความหนืดขึ้นตามไปด้วย
3. ข้อต่อระหว่างขากรรไกรหลวม
คนไข้อาจจะรู้สึกปวดกล้ามเนื้อในบริเวณขากรรไกรบ้างเป็นบางครั้ง เพราะขากรรไกรที่ทำหน้าที่ยึดข้อต่อ ไม่แข็งแรงเท่าเดิม
4. ใบหน้าเสียสมดุล
เมื่อฉีดโบท็อกซ์ไปสักระยะหนึ่ง คนไข้บางรายอาจพบปัญหาใบหน้าซ้ายขวาไม่เท่ากัน ซึ่งมักเกิดจากพฤติกรรมการเคี้ยวอาหารเพียงข้างเดียว ส่งผลให้กล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งถูกใช้งานมากกว่าจนมีขนาดที่โตขึ้นมากกว่าอีกข้าง ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดการเสียสมดุลบนใบหน้าค่ะ
ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
เพื่อให้การฉีดโบท็อกซ์กรามมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่เหมาะสม หมอจะบอกพฤติกรรมที่คนไข้ควรหลีกเลี่ยงให้ทราบกันค่ะ
1. ห้ามนอนราบ
หลังการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ห้ามนอนคว่ำ ก้มหน้า หรือการกระทำอื่น ๆ ที่ทำให้เลือดไหลเวียนบริเวณหน้าเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เพราะจะทำให้มีเลือดไหลเวียนที่บริเวณใบหน้ามากเกินไป ส่งผลให้โบท็อกซ์ที่ฉีดสลายตัวได้ง่ายหรือไหลไปที่บริเวณอื่น
2. ห้ามเข้าใกล้ความร้อนทุกชนิด
คนไข้ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ความร้อนทุกชนิด เช่น การตากแดด การเข้าห้องซาวน่า การรับประทานอาหารรสเผ็ด การเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึก หรือพฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายเกิดความร้อน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบกับโบท็อกซ์ที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังให้ละลายได้
3. ห้ามประคบเย็น
คนไข้ไม่ควรประคบเย็น เพราะนอกจากความเย็นจะไม่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้แล้ว ยังทำให้โบท็อกซ์ไม่ซึมเข้าสู่เซลล์ประสาทอีกด้วย จะส่งผลให้การฉีดโบท็อกซ์ของเราไม่เกิดผลลัพธ์ขึ้นค่ะ
4. ห้ามขยับหน้าบ่อยเกินความจำเป็น
การขยับหน้าบ่อยเป็นการกระตุ้นให้เส้นประสาทขยายตัว ส่งผลให้โบท็อกซ์สลายได้ และในการขยับหน้าเพื่อการเคี้ยวอาหารด้วยกรามเพียงข้างเดียวนั้นจะกระทบกับโบท็อกซ์และสามารถทำให้หน้าผิดรูปได้
อาหารที่ห้ามรับประทานหลังฉีดโบท็อกซ์กราม
หลังการฉีดโบท็อกซ์นั้น คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติเลยค่ะ แต่จะมีอาหารบางชนิดที่คนไข้ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจทำให้หลอดเลือดขยายตัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไป ได้แก่
-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
-อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ เช่น หมูกระทะ
-อาหารที่มีความเผ็ดจนทำให้เกิดความร้อนที่ใบหน้า เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของพริก
-อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า ผัดดอง ผลไม้ดอง
ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ที่ไหนดี
คนไข้ทุกคนล้วนต้องการความปลอดภัยและใบหน้าที่เรียวสวยได้รูป หลังเข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์กราม ดังนั้น วันนี้หมอจะมาแนะนำแนวทางการหาข้อมูล ก่อนการฉีดโบท็อกซ์ค่ะ
1. คลินิกที่น่าเชื่อถือ
คนไข้ควรเลือกคลินิกหรือสถาบันเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน มีใบรับรองหรือใบอนุญาตที่ถูกต้องค่ะ นอกจากนี้ คลินิกควรมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่จะสามารถช่วยเหลือคนไข้ได้ทุกกรณี รวมไปถึงควรมีรีวิวจริงจากผู้ที่เคยไปใช้บริการค่ะ
2. แพทย์ประจำคลินิกสามารถตรวจสอบข้อมูลได้
เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้จะได้รับบริการจากแพทย์ตัวจริงที่มีความชำนาญและความสามารถ ควรตรวจสอบข้อมูลของแพทย์เจ้าของเคสในฐานข้อมูลของแพทยสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลของแพทย์ได้ในเว็บไซต์นี้ได้เลยค่ะ https://www.tmc.or.th/check_md/
3. ตรวจสอบโบท็อกซ์
มีโบท็อกซ์หลายแบรนด์ที่ได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการตรวจสอบโบท็อกซ์ของแท้ คนไข้สามารถนำเลขล็อตการผลิตไปสอบถามกับบริษัทที่นำเข้าโบท็อกซ์ตัวนั้นๆได้ค่ะ โดยสามารถแจ้งคุณหมอเพื่อขอดูข้อมูลบริเวณบรรจุภัณฑ์ เช่น ข้างขวดใส่สารหรือข้างกล่อง เป็นต้น นอกจากนี้ โบท็อกซ์ที่ปลอดภัยต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยค่ะ
วิธีการปรับรูปหน้าอื่นๆ นอกจากการฉีดโบท็อกซ์กราม
การฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะสำหรับผู้ที่มีขนาดกรามที่ใหญ่ เพราะเมื่อฉีดรักษาแล้ว ขนาดของกรามก็จะลดลง ช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงและเรียวยาวมากขึ้น แต่นอกจากการฉีดโบท็อกซ์กรามแล้ว ยังมีวิธีเสริมความงามแบบอื่นที่จะช่วยให้คนไข้ได้ใบหน้าในฝัน ซึ่งแต่ละวิธีนั้นเหมาะกับคนไข้ที่แตกต่างกันออกไป โดยหมอจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาหลังจากที่ประเมินรูปร่างและเงื่อนไขของคนไข้ค่ะ ในวันนี้หมอจะนำวิธีการที่ช่วยในการปรับใบหน้าให้เรียวสวย นอกจากการฉีดโบท็อกซ์กรามมาฝากค่ะ ไปดูกันเลย
1. การร้อยไหม
เป็นเทคนิคการเสริมความงามที่ไม่ต้องผ่าตัดเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวยด้วยไหมละลาย โดยไหมสามารถละลายไปได้เองตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป 6-18 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเป็นหลัก
2. ผ่าตัดกรามหรือเหลากราม
การผ่าตัดหรือเหลาเพื่อลดขนาดกรามและปรับรูปหน้าเหมาะสำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่หรือมีกระดูกขากรรไกรใหญ่มาแต่กำเนิด เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ใบหน้าของคุณเปลี่ยนเป็นรูปทรงเรียวสวยที่ต้องการได้ค่ะ
3. ศัลยกรรมปรับแต่งกระดูกบริเวณกราม
เป็นการแก้ปัญหาที่เหมาะกับคนที่มีโหนกแก้มสูงใหญ่ และปัญหาหน้าบานหรือหน้าตอบ แต่มีข้อเสียคือถ้าหากปรับแต่งไปแล้ว จะไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ดังนั้น นอกจากคนไข้ต้องมั่นใจแล้ว ยังต้องเลือกแพทย์ศัลยกรรมที่พร้อมด้วยความสามารถและมีความเข้าใจสรีระโครงสร้างของใบหน้าเป็นอย่างดี
4. ฉีดเมโสแฟต (Meso fat)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันใบหน้าเยอะ เช่น บริเวณแก้ม กรอบหน้า รวมไปถึงเหนียง สำหรับการฉีดจะช่วยสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ไม่ต้องการ ข้อเสียคือคนไข้ต้องฉีดทุกอาทิตย์ อาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และมีผลข้างเคียงมาก นอกจากนี้ อาจมีอาการเจ็บในตอนฉีด และมีรอยฟกช้ำบ้างหลังการฉีด
5. ลดกล้ามเนื้อกรามด้วยเลเซอร์หรือ RF ลดกราม
RF (Radio Frequency) ลดกราม คือ นวัตกรรมใหม่เพื่อทำให้กล้ามเนื้อลดขนาดลงอย่างถาวรจากประเทศเกาหลี โดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเปลี่ยนกล้ามเนื้อเป็นพลังงานความร้อนที่ 50-90 องศาเซลเซียส ทำให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว และเล็กลงในที่สุด ผลการรักษาจะเริ่มเปลี่ยนแปลงจนเห็นได้ชัดในระยะเวลาประมาณ 6 – 8 สัปดาห์ โดยยังไม่พบภาวะแทรกซ้อนใด ๆ
6. นวดหน้าเรียว (Deep Tissue Massage)
เป็นการนวดหน้าให้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งให้ผลเสมือนการออกกำลังกายมัดกล้ามเนื้อต่าง ๆ บนใบหน้า ช่วยในการไหลเวียนโลหิต การสร้างกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง และเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ในบริเวณใบหน้า ช่วยให้ได้ใบหน้าที่เรียวสวยได้รูป รวมไปถึงการรีดไล่น้ำเหลืองที่เป็นแหล่งสะสมสารพิษ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและใบหน้าสดใสยิ่งขึ้น
สรุป
การโบท็อกซ์กราม เป็นการฉีดสาร Botulinum toxin เข้าไปที่บริเวณกรามเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อและปรับลดขนาดของกราม ซึ่งจะช่วยทำให้ใบหน้าดูเล็กลงและเรียวสวยได้รูป การใช้โบท็อกซ์ที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้ปากเบี้ยว ที่เกิดจากการกระจายตัวของยาที่ไม่แน่นอนจากจุดที่ฉีด และไปกระทบกับกล้ามเนื้อมัดที่ทำหน้าที่ดึงมุมปากได้